
รับประทานยาแก้ “เจ็บท้องเมนส์” เสมอๆอันตรายไหม?
โดยปกติลักษณะของการปวดรอบเดือน สุขภาพ มักกำเนิด 1-2 วันก่อนมีระดู หรือบางทีอาจเกิดขึ้นในวันที่มีเมนส์ก็ได้ ซึ่งการเกิดอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เกี่ยวกับสารกระตุ้นการอักเสบ “พลอสตามึงลุกลนดิน” (Prostaglandin) ซึ่งมีการเล่าเรียนพบว่า ในเลือดรอบเดือนของหญิงที่มีลักษณะปวดระดู มีสารจำพวกนี้สูงขึ้นมากยิ่งกว่าหญิงที่ไม่มีลักษณะของการปวดถึง 2 เท่า
นอกเหนือจากที่จะทำให้มีการเกิดการอักเสบแล้ว ยังส่งผลทำให้กล้ามมดลูกบีบตัวมากยิ่งกว่าธรรมดา ก็เลยทำให้มีลักษณะอาการเจ็บท้องขณะมีระดู และก็บางทีอาจลุกลามไปที่เอวข้างหลัง ต้นขา หรือในบางบุคคลอาจมีอาการอ้วก คลื่นไส้ ท้องร่วง แล้วก็อ่อนแรงร่วมด้วย ดังนี้เมื่อใดที่ผู้หญิงมีลักษณะอาการเจ็บท้องเมนส์ ก็จะมีความคุ้นเคยว่าต้องไปซื้อยามากิน เพื่อทุเลาลักษณะของการปวดให้ดียิ่งขึ้น
ยาที่ผู้หญิงรู้จักดีโดยมีชื่อเชิงพาณิชย์ที่หลายๆคนรู้จักเป็น “พอนสแตน” (Ponstan) มีคุณลักษณะเป็นยาต่อต้านการอักเสบ รวมทั้งทุเลาปวดระดับน้อยไปจนกระทั่งระดับปานกลาง ดังเช่น ปวดฟันข้างหลังผ่าตัด ปวดระดู ปวดกระดูก แล้วก็ปวดจากโรคข้อบางประเภท นอกเหนือจากนั้นยังคงใช้ลดลักษณะของการมีไข้ได้ด้วย
แม้ถามคำถามว่ารับประทานพอนสแตนทุกหน เมื่อเจ็บท้องรอบเดือนจะทำให้เป็นอันตรายไหม ขอบอกเลยว่าถ้าเกิดรับประทานอย่างสม่ำเสมอแล้วก็เกินจำนวนย่อมส่งผลใกล้กันแน่ๆ ด้วยเหตุนี้สำหรับคนแก่ขนาดสูงสุดที่กิน เป็นไม่สมควรเกิน 500 มก.ต่อครั้ง และไม่เกิน 3 ครั้งต่อวัน ลักษณะของการปวดทั่วๆไปไม่สมควรกินยาต่อเนื่องกันเกิน 7 วัน
แต่ว่าถ้าเกิดรับประทานเฉพาะที่มีลักษณะอาการปวดในจำนวนรวมทั้งปริมาณวันไม่เกินที่ระบุ การกินยาพาราท้องเมนส์ทุกเดือนมิได้ส่งผลอันตรายอะไรกับร่างกาย (ถ้าร่างกายธรรมดาดี ไม่มีโรคประจำตัว)
ผลกระทบที่เกิดจากการกินยาพาราระดูอย่างสม่ำเสมอ
ด้านผลเคียงของการได้รับยานี้โดยตลอด อาจจะเป็นผลให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดแตก (เลือดก็เลยออกได้ง่ายและก็หยุดยาก) โลหิตจาง ภาวการณ์ซีดเผือด ระคายในท้อง ท้องผูก บางบุคคลก็ท้องร่วง กำเนิดแผลในกระเพาะแล้วก็ไส้ ผิวหนังบวม โรคหอบหืด ปวดหัว อยากนอน อารมณ์เสีย หรืออันตรายถึงขั้นเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว
นอกนั้นยังอาจจะก่อให้กำเนิดภาวะความดันโลหิตสูง ใจสั่น ผื่นคัน ภาวการณ์ตับแล้วก็ไตดำเนินการไม่ปกติได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นคนที่เป็นโรคตับหรือโรคไต คนไข้ที่เป็นโรคเลือดจำพวกต่างๆยกตัวอย่างเช่น โรคเกล็ดเลือดต่ำ สตรีที่ตั้งท้องหรืออยู่ในตอนให้นมลูก รวมทั้งคนที่ผ่าตัดเส้นโลหิตที่ศีรษะจิตใจ ผู้เจ็บป่วยโรคหัวใจ ควรจะหลบหลีกการใช้ยานี้